คนพูดส่วนใหญ่ไม่ได้คิด แล้วคนฟังจะนำมาคิดต่อทำไม
ในโลกใบเดิมที่เราอยู่ตั้งแต่เกิดมา เราได้เจอกับคนสารพัดรูปแบบ และที่ต้องเจอมากที่สุดกับคนที่หน้าอย่าง หลังอย่าง หรือหน้าไหว้หลังหลอกก็จะเป็นช่วงตอนที่เราได้ทำงาน เชื่อได้เลยว่าคนทำงานอ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าคนในที่ทำงานเราเป็นอย่างไร บางคนก็เริ่มมีไฟติดที่หัว ไม่ได้หมายความว่าคิดไอเดียได้แต่เริ่มที่จะหัวร้อนเพราะแค่คิดเล่นๆ ก็เริ่มที่จะไม่ไหวแล้วกับเขาคนนั้น กับเธอคนนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำดีต่อหน้าเราแล้วเอาเราไปพูดทางเสียหายลับหลัง คนแบบนี้มีอยู่จริงหรือนี่ แต่ก่อนที่จะหัวร้อนมากไปกว่านี้ให้ลองคิดดูก่อนว่า เขาคนนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเราแถมด้วย คนอื่นเขาก็รู้กันหมดว่าคนนี้เป็นอย่างไร อย่าได้แคร์เพราะแค่ลมปากเป่า เก็บเอาความคิดเราไปต่อยอดทางการค้า การทำงานจะดีกว่า คิดแล้วได้เงิน คิดแล้วมีแต่คนชอบแบบนี้แหละดีที่สุด
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็จะหมายถึง คำคนนั้นคมกว่ามีดใดๆ ในโลก ไม่ว่าประเทศญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าผลิตมีดที่ดีที่สุดในโลก ด้วยช่างฝีมือที่หาตัวจับยาก ทำมีด ทำดาบออกมาขนาดว่าตัดได้แม้กระทั้งอากาศ แต่ก็ยังไม่คมเท่ากับคำพูดคน เพราะคำพูดคน สามารถตัดได้แม้กระทั้งมิตรที่รักกันมาก คำเดียวก็สามารถตัดกันขาดได้ในพริบตามมาแล้วทั้งนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่า คำพูดนั้น สามารถบันดาลทุกสิ่งให้เป็นจริงได้และก็สามารถทำลายได้แม้กระทั้งภูเขาลูกใหญ่ๆ ก็ควรจะต้องใช้ให้เป็น
และคำบางคำที่เราไม่ควรที่จะพูด คำพูดเหล่านี้ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่ชอบนั้นคือ
1.เขาทำกันมาเท่าไหร่แล้ว
เวลาที่เราอยากจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่เมื่อมีเพื่อนมาเล่าสู่ให้เราฟัง กำลังวาดฝันอย่างสวยงามตอนนี้ไฟในตัวของเขากำลังติดอย่างหาที่ลงไม่ได้ แถมได้ดูช่องทางไว้หมดแล้ว แต่ถ้าเราฟังไปแล้วเห็นจุดสังเกตบางอย่างที่ดูแล้วอาจจะเป็นช่องโหว่ทำให้เพื่อนเรานั้นอาจจะพลาดพลั้งได้ก็ต้องหาคำพูดต่างๆ ที่เป็นขอคิดให้กับเพื่อน แต่ห้ามใช่คำพูดที่ว่า “เขาทำกันมาเท่าไหร่แล้ว” หรือ “เขาเจ๊งกันมาเท่าไหร่แล้ว” คำเหล่านี้อาจจะตัดเพื่อนหรือทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี เป็นคนดูถูกคนได้ในทันที การทำงานการลงทุนทำธุรกิจ ไม่ใช่ว่าคนที่มาทีหลังจะไม่ชนะหรือเสมอกับคนทำก่อน อาจจะทำได้ดีกว่าซึ่งก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ มีคนผลิตน้ำชายี่ห้อต่างๆ ออกมามากมาย แต่ก็ยังมีเจ้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันและก็ได้ส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างไม่น้อย นั้นหมายความว่าคำที่ว่า “เขาทำกันมาเท่าไหร่แล้ว” หรือ “เขาเจ๊งกันมาเท่าไหร่แล้ว” ห้ามพูดเด็ดขาด แต่ใช้การพูดในแนวให้เพื่อนศึกษาหรือค้นคว้าเพิ่มอีกนิดจะดีกว่า
2.มันเป็นไปไม่ได้
คำว่ามันเป็นไปไม่ได้นั้น มีอยู่จริงต้องยอมรับก่อน อย่างเช่นการที่เราจะบอกว่าเราจะรวยที่สุดในโลก โอกาสมันน้อยยิ่งกว่าน้อยที่สุดแบบนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเกิดว่า เรากำลังคิดจะทำงานหรือค้าขายสิ่งใดสิ่งหนึ่งสักอย่าง ต้องมองถึงโอกาสที่จะได้ตามมา อย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดว่ามือถือที่หลายคนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาคอมพิวเตอร์มาอยู่ในมือถือเครื่องเล็กๆ แต่สุดท้ายก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ แต่จะต้องไม่เกินตัว และสำหรับคนที่มาพูดแบบนี้กับเรา ก็อย่าได้จนใจมากนักถ้าเขาคนนั้นก็ยังไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง อย่าได้แคร์
3.ยอม
คำว่ายอมไว้สำหรับการแข่งขันที่ดูอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ การยอมมีหลายอย่างยอมเพราะถอดใจแล้ว ไม่อยากทำอีกแล้วหรือ ยอมเพราะอยากจะไปเรียนรู้เพิ่มเติมแล้วกลับมาเดินในเส้นทางนี้อีกครั้ง นักมวยหลายๆ ครั้ง ตัวเองนั้นใจสู้ ซ้อมมาแรมปี แต่พอได้ขึ้นชกกับคู่ต่อสู้แล้วก็ต้องยอมรับว่าเราซ้อมมาน้อยกว่าเขา พี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็จำต้องบอกให้กับเรายอมแพ้เพื่อที่จะได้มาสู้ใหม่ เช่นเดียวกันกับการทำธุรกิจหรือการอยู่ในที่ทำงาน ถ้าเรายังไม่ถึงฝัน เส้นทางยังไปได้ อย่าถอดใจหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ ยิ่งเป็นการยอมแพ้ต่อคำพูดยิ่งต้องทิ้งมันโดยทันที คนพูดส่วนมากแล้วจะพูดเพราะสนุกปากไม่ได้คิดถึงคนฟัง และคนฟังก็จะคิดมากกับคำพูดสนุกปากเหล่านั้น ถ้าเส้นทางยังมีห้ามมีคำว่ายอม ต้องสู้ไปจนกว่าเป้าหมายนั้นจะอยู่ในมือ
คำพูดคมจนตัดได้ทุกสิ่งบนโลก คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้เกิดสงครามโลกได้ ฉะนั้นคำพูดคือสิ่งที่สร้างทุกอย่างให้เป็นไปได้ และ ทำให้ทุกอย่างล่มสลายได้ในพริบตา เราจงเป็นคนที่เลือกคำพูดก่อนที่จะพูดออกไปให้ได้มากที่สุด อย่าพูดแล้วมาเสียใจกับคำพูดเหล่านั้น คิดให้ดี คิดให้ตกผลึกแล้วพูดออกไปเพียงไม่กี่คำทำให้ชีวิตเราดีขึ้นดีกว่า ฟังให้มากแล้วพูดแค่พอดี เชื่อได้เลยว่าคำพูดที่พูดออกไปนั้นจะมีราคาแพงจนสามารถที่จะซื้อใจทุกคนได้เป็นอย่างดี อย่างที่นักปราญ์เคยได้กล่าวไว้ “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะเป็นสี” คำนี้ใช้ได้ตลอดกาล